เมื่อศาลเห็นว่าลูกหนี้ไม่ควรถูกพิพากษาให้ล้มล้มละลายศาลมีอำนาจสั่งยกเลิกการล้มละลายได้ คำสั่งยกเลิกการล้มละลายดังกล่าวไม่ทำให้ลูกหนี้หลุดพ้นจากหนี้สิน หากมีเจ้าหนี้รายอื่นที่ไม่ได้ยื่นขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายดังกล่าว มีสิทธินำมูลหนี้ของตนมาฟ้องลูกหนี้เป็นคดีล้มละลายได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2902/2552
การที่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งยกเลิกการล้มละลายของจำเลย ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 135 (2) มีผลตาม พ.ร.บ.ล้มละลายฯ มาตรา 136 แต่ก็หาทำให้จำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้หลุดพ้นจากหนี้สินแต่อย่างใดไม่ ทั้งไม่ต้องคำนึงว่าหนี้ดังกล่าวนั้นเจ้าหนี้จะได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ไว้หรือไม่ มีผลให้โจทก์ซึ่งไม่ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ยังคงมีสิทธิที่จะบังคับชำระหนี้ตามสิทธิที่มีอยู่ต่อไปเหมือนดังก่อนที่มีการฟ้องคดีล้มละลาย โจทก์จึงมีสิทธินำมูลหนี้ตามคำพิพากษาในคดีแพ่งที่จำเลยค้างชำระมาฟ้องจำเลยเป็นคดีล้มละลายได้
โจทก์ฟ้องขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาด และพิพากษาให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14 และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยหักจากกองทรัพย์สินของจำเลย เฉพาะค่าทนายความให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์กำหนดตามที่เห็นสมควร
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยประการแรกว่า โจทก์มีสิทธินำมูลหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมของศาลจังหวัดภูเก็ต คดีหมายเลขแดงที่ 1008/2539 มาฟ้องจำเลยเป็นคดีล้มละลายหรือไม่ เห็นว่า แม้ว่าการที่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งยกเลิกการล้มละลายของจำเลยในคดีของศาลล้มละลายกลาง คดีหมายเลขแดงที่ ล.511/2543 เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2547 ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 135(2) ซึ่งมีผลตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 136 แต่ก็หาทำให้ลูกหนี้หลุดพ้นจากหนี้สินแต่อย่างใดไม่ โดยไม่ต้องคำนึงว่าหนี้ดังกล่าวนั้นเจ้าหนี้จะได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ไว้หรือไม่ มีผลให้โจทก์ซึ่งไม่ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้นั้นยังคงมีสิทธิที่จะบังคับชำระหนี้ตามสิทธิที่โจทก์มีอยู่ต่อไปเหมือนดังก่อนที่มีการฟ้องคดีล้มละลาย โจทก์จึงมีสิทธิที่จะนำมูลหนี้ตามคำพิพากษาในคดีแพ่งดังกล่าวมาฟ้องจำเลยเป็นคดีล้มละลายได้
ปัญหาต้องวินิจฉัยประการสุดท้ายมีว่า กรณีมีหตุอื่นที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลายหรือไม่ เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาตามยอมตั้งแต่ปี พ.ศ.2539 ซึ่งหลังจากศาลมีคำพิพากษาตามยอมแล้ว จำเลยมิได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ จนกระทั่งโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดได้เงินชำระหนี้บางส่วน หลังจากนั้นจำเลยก็มิได้ชำระหนี้ส่วนที่ค้างหรือติดต่อขอชำระหนี้แก่โจทก์แต่อย่างใด เมื่อนับระยะเวลาจากศาลพิพากษาตามยอมในคดีแพ่งจนถึงโจทก์นำคดีมาฟ้องจำเลยเป็นคดีล้มละลายคดีนี้เป็นเวลาเกือบสิบปีแล้ว พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงว่าจำเลยมิได้ขวนขวายชำระหนี้แก่โจทก์ กรณีจึงไม่มีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลาย ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์อ้างว่า เมื่อศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดในคดีหมายเลขแดงที่ ล.511/2443 โจทก์มิได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายดังกล่าว และต่อมาศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งยกเลิกการล้มละลายของจำเลยตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 135(2) นั้น เห็นว่า เพียงแต่เหตุดังกล่าวยังไม่มีเหตุผลเพียงพอที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลาย ที่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดมานั้น ชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นนี้ให้เป็นพับ.
( อัปษร หิรัญบูรณะ - รัตน กองแก้ว - กีรติ กาญจนรินทร์ )
ศาลล้มละลายกลาง - นางสาวอัจฉรา ประจันนวล
พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 135, 136